ตามที่เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗ คณะทำงานติดตามและประสานคดีสำคัญ กกล.มพ.จชต. พร้อมทนายความได้ติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบโจมตีฐาน ร้อย ร.15121 หรือ พระองค์ดำ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ณ ศาลจังหวัดนราธิวาส เพื่อร่วมรับฟังคำพิพากษา นายซุลกิฟลี ซิกะ จำเลยในคดีดังกล่าว ผลคำพิพากษาศาลตัดสินประหารชีวิตและให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยรอยื่นอุทธรณ์ โดยก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำพิพากษาตัดสินจำเลยในคดีเดียวกันไปแล้วจำนวน ๑๒ ราย และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอีกจำนวน ๒๑ ราย ต่อกรณีดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้าขอชี้แจงให้ได้รับทราบดังนี้
ประการที่ ๑ การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของคดีดังกล่าวจนศาลมีคำพิพากษาตัดสินเป็นการปฏิบัติโดยยึดถือหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญแม้ว่าการยึดถือหลักข้างต้นจะใช้ระยะเวลาตามกระบานการเป็นเวลานานแต่เพื่อให้เกิดผลที่จะผดุงความยุติธรรม ให้กับจำเลยซึ่งมีสถานะเป็นผู้ต้องหาหลักการนี้จะยังดำรงอยู่ในทุกขั้นตอนของทุกคดีความมั่นคง
ประการที่ ๒ ฝ่ายความมั่นคงยังคงยึดมั่นในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้ขอบเขตตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายอย่างเต็มความสามารถ
ประการที่ ๓ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้าในฐานะเป็นหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงยังยืนยันที่จะใช้มาตรการแสวงหาทางออกจากปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยการพูดคุยกับผู้เห็นต่างจากรัฐที่ต้องการใช้โอกาสที่ทางราชการเปิดโอกาสให้ ซึ่งผู้เห็นต่างจากรัฐสามารถติดต่อกับหน่วยทหาร ตำรวจใกล้เคียงเพื่อแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านได้ในทุกโอกาส
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ได้รับผลกระทบการเหตุการณ์ก่อความไม่สงบและผู้เห็นต่างจากรัฐให้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเองอย่างสมภาคภูมิ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยการอยู่ร่วมกันภายใต้ภาวะแห่งความเข้าใจจะช่วยให้กระบวนการสร้างสันติภาพที่ทุกฝ่ายพยายามสร้างเพื่อนำพาสันติสุขที่ทุกคนต้องการกลับคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไปในเร็ววัน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ พันเอกนิโรธ ฉายากุล ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการข่าวสารและประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า
ประการที่ ๑ การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของคดีดังกล่าวจนศาลมีคำพิพากษาตัดสินเป็นการปฏิบัติโดยยึดถือหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญแม้ว่าการยึดถือหลักข้างต้นจะใช้ระยะเวลาตามกระบานการเป็นเวลานานแต่เพื่อให้เกิดผลที่จะผดุงความยุติธรรม ให้กับจำเลยซึ่งมีสถานะเป็นผู้ต้องหาหลักการนี้จะยังดำรงอยู่ในทุกขั้นตอนของทุกคดีความมั่นคง
ประการที่ ๒ ฝ่ายความมั่นคงยังคงยึดมั่นในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้ขอบเขตตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายอย่างเต็มความสามารถ
ประการที่ ๓ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้าในฐานะเป็นหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงยังยืนยันที่จะใช้มาตรการแสวงหาทางออกจากปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยการพูดคุยกับผู้เห็นต่างจากรัฐที่ต้องการใช้โอกาสที่ทางราชการเปิดโอกาสให้ ซึ่งผู้เห็นต่างจากรัฐสามารถติดต่อกับหน่วยทหาร ตำรวจใกล้เคียงเพื่อแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านได้ในทุกโอกาส
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ได้รับผลกระทบการเหตุการณ์ก่อความไม่สงบและผู้เห็นต่างจากรัฐให้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเองอย่างสมภาคภูมิ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยการอยู่ร่วมกันภายใต้ภาวะแห่งความเข้าใจจะช่วยให้กระบวนการสร้างสันติภาพที่ทุกฝ่ายพยายามสร้างเพื่อนำพาสันติสุขที่ทุกคนต้องการกลับคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไปในเร็ววัน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ พันเอกนิโรธ ฉายากุล ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการข่าวสารและประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น